วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Fontana di Trevi

                                                                                       Photo Create By Me

ประตูชัยคอนสแตนติน (Arco di Costantino)

Arco di Costantino

Arco di Costantino

ประตูชัยคอนสแตนติน เป็นหนึ่งในหลายๆ ประตูชัยที่ใหญ่ที่สุดของโรมัน ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ประตูชัยถูกสร้างขึ้นเพื่อสดุดีจักรพรรดิ์คอนสแตนตินที่ได้รบชนะ จักรพรรดิ์แมกเซนเทียส ซึ่งนำความสงบสุขมาให้หลังจากมีสงครามกลางเมืองมายาวนานกว่าร้อยปี ประตูชัยมีทั้งหมดสามประตูและได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามด้วย รูปปั้นและภาพแกะสลักนูนโค้งบรรทึกเรื่องราว ต่างๆ ในอดีต







คอนสแตนติน

Costantin

คอนสแตนตินเป็นจักรพรรดิโรมันคนแรกที่ประกาศตัวเป็นคริสเตียน การประกาศตัวครั้งนั้นส่งผลอย่างมากต่อประวัติศาสตร์ของโลก เขาได้อุปถัมภ์ศาสนาที่เมื่อก่อนเคยถูกต่อต้าน และช่วยปูทางไว้สำหรับการก่อตั้งคริสต์ศาสนจักร ตามที่สารานุกรมบริแทนนิกา กล่าวไว้ ศาสนาที่เรียกกันว่าศาสนาคริสต์ได้กลายเป็น สิ่งที่มีอิทธิพลต่อสังคมและการเมืองมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และทำให้โฉมหน้าประวัติศาสตร์เปลี่ยนไปจากเดิม ทำไมคุณควรสนใจเรื่องของจักรพรรดิโรมันผู้นี้? ถ้าคุณอยากรู้เรื่องราวของศาสนาคริสต์ คุณก็ควรรู้ว่ากลยุทธ์ทางการเมืองและศาสนาที่คอนสแตนตินใช้มีอิทธิพลอย่างมากต่อความเชื่อและพิธีกรรมต่าง ๆ ของคริสตจักรหลายแห่งเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ให้เรามาดูรายละเอียดของเรื่องนี้ด้วยกัน

คริสตจักรได้รับการรับรองตามกฎหมายและถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในปี ค.ศ. 313 คอนสแตนตินได้ปกครองจักรวรรดิโรมันตะวันตก ในขณะที่ลิซินิอุสและแม็กซิมินุสปกครองจักรวรรดิโรมันตะวันออก คอนสแตนตินและลิซินิอุสต่างก็อนุญาตให้ทุกคนมีอิสระในการนับถือศาสนา รวมทั้งคริสเตียนด้วย คอนสแตนตินให้การปกป้องคุ้มครองศาสนาคริสต์ เพราะเชื่อว่าศาสนานี้จะช่วยให้จักรวรรดิของเขารวมเป็นปึกแผ่นได้ 

คอนสแตนตินไม่พอใจอย่างมากที่เห็นคริสตจักรต่าง ๆ ถกเถียงกันจนแตกแยก เขาต้องการให้ทุกฝ่ายลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ จึงแก้ปัญหาด้วยการคิดหลักคำสอนที่เห็นว่า ถูกต้องขึ้นมา แล้วภายหลังก็บังคับให้ทุกคนยอมรับ และเพื่อจะเอาใจคอนสแตนติน พวกบิชอปจึงต้องยอมประนีประนอมไม่เคร่งครัดกับหลักคำสอนทางศาสนาของพวกเขามากนัก เพราะคนที่ยอมทำอย่างนั้นจะได้รับการอุปถัมภ์ การยกเว้นภาษี และได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งสูงขึ้น นักประวัติศาสตร์ชื่อชาลส์ ฟรีแมน กล่าวว่า การรับรองว่าหลักคำสอนของคริสเตียนชุดนี้ ถูกต้องนอกจากจะทำให้พวกเขาได้รับอภิสิทธิ์ในสวรรค์แล้ว ยังทำให้พวกเขา ได้รับอำนาจ ลาภยศ เงินทองบนโลกด้วยดังนั้น พวกนักบวชจึงกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อเรื่องต่าง ๆ ทางโลก นักประวัติศาสตร์ชื่อเอ. เอช. เอ็ม. โจนส์ กล่าวไว้ว่า คริสตจักรนอกจากจะได้ผู้ปกป้องคุ้มครองแล้วยังได้เจ้าเหนือหัวด้วย






ที่มา : http://www.thaifly.com/

Rome in a nutshell city guide for first-time visitors


ซุ้ม Baldacchino

Baldacchino


ที่ตั้งเหนือหลุมศพจริงของเซนต์ปีเตอร์ หลุมศพท่านอยู่ที่นี่มาก่อนแล้วจนกระทั่งโรมันหมดอำนาจ กษัตริย์แห่งโรมหันมานับถือศาสนาคริสต์เอง จึงให้มีการก่อสร้างโบสถ์ครอบหลุมศพเซนต์ปีเตอร์ที่นี่ เพื่อเป็นการยกย่องและเชิดชูท่าน และนั่นคือจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของศาสนจักรในเวลาต่อมา การสร้างโบสถ์นี้ไม่ง่ายมีอุปสรรคมาก สุดท้ายคนที่ออกแบบ Basilica di San Pietro แห่งนี้ก็คือไมเคิลแองเจลโล ที่มีโอกาศเห็นแค่การสร้างฐานราก มหาวิหารนี้มาสร้างต่อโดยศิลปินเอกอีกท่านนาม Bernini ประติมากรรมเซนต์ปีเตอร์ภายในมหาวิหาร ท่านถือกุญแจในมือ ผู้คนนิยมมาลูบหรือจุมพิตแทบเท้า และตั้งจิตอธิษฐาน เซนต์ปีเตอร์เป็นอัครสาวกเอกของพระเยซู ในยุคโรมันเรืองอำนาจท่านเองก็เป็นบุคคลหนึ่งที่เสียชีวิตเนื่องจากการ ต่อสู้เพื่อศาสนาคริสต์ ยุคนั้นใครนับถือคริสต์ถือว่าเป็นคนนอกรีด ท่านเสียชีวิตจากการถูกตรึงบนกางเขน แต่ท่านขอถูกตรึงในลักษณะกางเขนที่กลับทิศกับของพระเยซูเนื่องจากท่านว่าไม่ มีใครเสมอเหมือนพระเยซูได้ และโรมันก็ปฏิบัติตามคำขอนั้น


มีคนเปรียบว่า ถ้าประตูบรอนซ์ Florence Baptistery (ที่อยู่ตรงข้าม Florence Duomo) คือตัวจุดประกายศิลปะเรเนอซองส์แล้วไซร้Baldacchino ก็ถือเป็นต้นกำเนิดของศิลปะสไตล์บาโร้กเช่นกัน ด้วยความเว่อร์อลังเหลือกำลังลากของมันเพราะที่เห็นๆนี่ ไม่ใช่ไม้ทาสีนะขอรับ แต่เป็นทองเหลืองทั้งดุ้น แถมยังประดับประดาไปด้วยลวดลายพฤกษาสีทองอร่ามอีกส่วนผึ้งน้อยที่รายรอบหลังคาของ Baldacchino เป็นสัญลักษณ์ของตระกูล Barberini ต้นตระกูลของพระสันตะปาปา Urban VIII ผู้มีรับสั่งให้ Bernini สร้าง Baldacchino นี่ขึ้นมานั่นเอง





ด้านหลัง Baldacchino เป็น Cathedra Petri สุดทองอร่ามซึ่งออกแบบโดย Bernini จริงๆแล้ว Cathedra Petri หรือ Throne of St. Peter ไม่ใช่บัลลังก์ของเซ็นต์ปีเตอร์ แต่เป็นบัลลังก์เก่าแก่ของพระสันตะปาปา ที่มีมาตั้งกะปีคศ. 875 แบร์นินี่คงเกรงว่าเอาบัลลังก์มาตั้งไว้เฉยๆมันจะไม่สมศักดิ์ศรี เลยสร้างฉากหลังเป็นม่านเมฆทองคำ ที่เหล่านางฟ้าเทวดามารายล้อมแสงเฮ้ากวงจากนกพิราบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ Holy Spirit














ที่มา : http://www.thaifly.com/

มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Basilica of Saint Peter)

Basillica di San Pietro

มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Basilica of Saint Peter) ชาวอิตาลีเรียกกันว่า Basilica di San Pietro in Vaticano หรือเรียกสั้นๆว่าเซนต์ปีเตอร์บาซิลิกา (Saint Peter’s Basilica) มหาวิหารนี้เป็นมหาวิหารหนึ่งในสี่ของมหาวิหารหลักในกรุงโรม ประเทศอิตาลี อีกสามมหาวิหารคือ: มหาวิหารเซ็นต์จอห์นแลเตอร์รัน, มหาวิหารซานตามาเรียมายอเร และ มหาวิหารเซ็นต์พอลนอกกำแพงมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในนครรัฐ วาติกันสร้างทับวิหารเดิมที่ชื่อเดียวกัน โดมของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์สูงโดดเด่นสามารถเห็นได้แต่ไกลในตัวเมืองโรม
นครรัฐวาติกันเป็น นครรัฐเล็กๆที่ปกครองตนเองแยกออกจากรัฐบาลอิตาลี ผู้ปกครองสูงสุดของวาติกันคือ องค์พระสันตะปาปาเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่หนึ่งของคริสตชนนิกายโรมันคาทอลิก ที่ตั้งวัดเชื่อกันว่าเป็นที่ฝังร่างของ นักบุญปีเตอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาวกสิบสององค์ของพระเยซู นักบุญปีเตอร์เดิมเป็นบาทหลวงองค์แรกของอันติโอก (Antioch) ต่อมาก็ได้สถาปนาขึ้นเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของโรม เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1950 ระหว่างการออกอากาศทางวิทยุสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 ประกาศว่าได้มีการค้นพบที่ฝังพระศพของนักบุญปีเตอร์ หลังจากที่นักโบราณคดีใช้เวลา 10 ปี ศึกษาขุดค้นห้องใต้ดิน (crypt) ภายในมหาวิหาร




ในปีคศ.313 จักรพรรดิคอนสแตนตินได้ประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำอาณาจักรโรมันเลยมีดำริให้สร้างโบสถ์อุทิศให้กับ St. Peter ตรงบริเวณที่เชื่อว่าเป็นจุดฝังศพของท่านนักบุญซึ่งโบสถ์ที่ว่าก็คือ St. Peter Basilica นั่นเอง St. Peter เป็นหนึ่งในสาวก 12 คนของพระเยซู แถมยังได้ชื่อว่าเป็นผู้นำสาวกเสียด้วย ตามตำนานหลังจากพระเยซูสวรรคตแล้ว เซ็นต์ปีเตอร์ก็เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาที่กรุงโรม และท่านก็ทำให้ชาวโรมันหันมานับถือคริสต์มากมายแต่เนื่องจากสมัยนั้นชาวโรมันยังนับถือเทพเจ้าอยู่ ชาวคริสต์เลยโดนทหารโรมันฆ่าแกงราวผักปลาแม้แต่ St. Peter เองก็ยังโดนทหารโรมันจับตรึงกางเขนตาย ก่อนจะถูกฝังรวมกับศพชาวคริสต์อื่นๆ ด้วยเหตุฉะนี้ วาติกันเลยยกให้ St. Peter เป็นพระสันตะปาปาคนแรก




ข้ามมายังปี คศ.1500 St. Peter Basilica ซึ่งอยู่ยั้งยืนยงมาตั้งกะสมัยจักรพรรดิคอนสแตนตินกำลังอยู่ในสภาพจะพังมิพังแหล่ แต่ก็ไม่มีใครกล้ารื้อวิหาร เพราะถือว่าเป็นมรดกตกทอดมาแต่โบราณกาลจนกระทั่งมาเจอนโยบายคิดใหม่ทำใหม่ของพระสันตะปาปาโหดมันฮา Julius II ที่สั่งให้ทุบวิหารเก่าทิ้งเพื่อเปิดทางให้ Donato Bramante สถาปนิกชื่อดังจากแคว้น Umbria สร้างวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ขึ้นมาใหม่ นอกจากจะกล้าสั่งทุบ St. Peter Basilica เวอร์ชั่นดั้งเดิมแล้ว Julius II ผู้หัวดื้อ เอาแต่ใจ แถมยังหนังเหนียวตายยากสะใจแฟนคลับคนนี้ ยังเป็นคนบีบคอบังคับให้ Michelangelo วาดเฟรสโก้ประดับเพดาน Sistine Chapel อีกด้วย อีกทั้ง Julius II ยังได้ฉายาว่าเป็น Warrior Pope เพราะเฮียเป็นพระสันตะปาปาคนแรกและคนเดียว ที่บ้าบิ่นนำกองทัพวาติกันไปดับซ่าหัวเมืองต่างๆด้วยตัวเอง 





Bramanteเลือกแปลนรูป GreekCross (ทรงกากบาทกาชาด) และให้มีโดมอยู่ตรงกลางพอ Bramante ลาโลกไป Raphael จิตรกรหนุ่มชื่อดังก็มาเทคโอเวอร์โครงการ โดย Raphael เปลี่ยนแปลนวิหารให้มาเป็นรูป Latin Cross (ทรงไม้กางเขน) แทน แต่ราฟาเอลก็มาด่วนเท่งทึงไปตอนอายุแค่ 37 ขวบเท่านั้น หลังจากนั้นตำแหน่งสถาปนิกหลักของวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ก็ถูกส่งผ่านมือสถาปนิกชั้นนำหลายต่อหลายคน จนในที่สุด หวยก็มาออกที่อัครมหาสถาปนิก ผู้ที่ทำให้ St. Peter Basilica มีหน้าตาอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้






ที่มา : http://www.thaifly.com/

น้ำพุเทรวี่ (Fontana di Trevi)

Fontana di Trevi


น้ำพุเทรวี่แห่งนี้ เริ่มเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงจากภาพยนตร์เรื่อง "Three Coins in the Fountain" ที่แห่งนี้เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรพลาดเป็นอันขาด เนื่องจากมีความสวยงาม ทางสถาปัตยกรรมเป็นอย่างมาก แต่กว่าจะออกมาสวยแบบนี้ มีการสร้างขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งลงตัวที่แบบดีไซน์ของ สถาปนิกชื่อ Francesco Salvi ในช่วงศตวรรษที่ 17 นี้เอง น้ำพุเทรวี่นี้ ถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่สร้างความประทับให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลกเลยที เดียว ส่วนกลางของน้ำพุนั้น มีรูปปั้นของเทพเจ้าเนปจูน (Neptune) ขี่รถม้าติดปีก แสดงถึงความมีสุขภาพที่แข็งแรง และความอุดมสมบูรณ์ของอาณาจักร

ตามธรรมเนียมแล้ว นักท่องเที่ยวที่มาชมน้ำพุเทรวี่แห่งนี้ ควรจะโยนเหรียญ 1 เหรียญลงไปในสระ โดยมีความเชื่อกันว่า หากโยนเหรียญลงไปแล้ว จะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้งนึง


น้ำพุเทรวี่ เป็นน้ำพุที่สวยงาม และ มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ชื่อ Trevi นั้นมาจากคำว่า Trivium  เนืื่องจากสร้างขึ้นเพื่อ เป็นที่พบกันของถนนสามสาย  เป็นอนุสรณ์สไตล์บารอด ออกแบบและก่อสร้างโดย นิโคลา ซาลวี่  ซึ่งองค์สมเด็จสันตะปาปา ครีเมนต์ที่ 12  ได้มอบหมายให้สร้างขึ้นในปี 1732

การก่อสร้างดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่ง  ภายหลังการสิ้นพระชนม์ ของสมเด็จพระสันตะปาปา เออร์บันที่ 8  การก่อสร้างได้หยุด ชะงักลง  แล้วจึงดำเนินการสร้างต่อมาจนแล้วเสร็จในปี 1762 รวมใช้เวลาทั้งสิ้น 30 ปี ทางระบายน้ำเวอร์โก้  บริเวณลานด้านหน้านั้นก่อสร้างมากว่า2,000 ปีเลยที่เดียว เมื่อครั้งสมัยโรมโบรานซึ่งปกครองโดยจักรพรรดิออกัสตัส ซึ่ง เป็นเวลา 19 ปีก่อนคริสตศักราช  รูปปั้นแกะสลักที่เลิศหรูอลังการ ที่อวดโฉมให้ผู้ไปเยือนได้ยลนั้นได้แนวคิดจากความยิ่งใหญ่ของ เทพเจ้าเนปจูน ( เทพแห่งท้องทะเล )



ที่มา : http://www.thaifly.com/

ประติมากรรมแกะสลักหินอ่อน (Pieta)

Pieta

Pieta เป็นหนึ่งในประติมากรรมแกะสลักหินอ่อนที่ดีที่สุดในโลก เป็นผลงานของไมเคิลแองเจลโล ภาพนี่เป็น moment ขณะที่พระแม่มารีเข้าไปอุ้มร่างไร้วิญญาณของพระเยซูที่ถูกปลดจากการตรึงบน กางเขน ลองดูใบหน้าพระแม่มารี สีหน้า แววตา ดูเศร้า ได้อารมณ์และงดงามสุดๆ รายละเอียดความพริ้วของเสื้อผ้าที่แกะจากหินอ่อนทั้งก้อน สรีรภาพของพระเยซู รอยตะปูบนหลังมือเท้าของพระเยซู สุดสุด

ตอนที่ไมเคิลแองเจลโลแกะรูปนี้เขาเป็นศิลปินโนเนมวัย 23 ปีที่เดินทางจากบ้านนอกเมืองฟลอเรนซ์มาโรม ตอนแกะรูปนี้เสร็จ คนในโรมตะลึงในความงาม โดยเข้าใจว่าคนที่แกะเป็นศิลปินอีกท่านนึงที่มีชื่อเสียงในขณะนั้น จนวันหนึ่ง ไมเคิลแองเจลโลจึงได้ทำสิ่งที่เขาทำครั้งแรกและครั้งสุดท้าย คือแอบมาสลักชื่อตัวเองบนรูปแกะสลัก Michael Angelus Bonarotus Florentinus Faciebat คือนามเต็มของยอดศิลปินผู้นี้ ซึ่งเป็นผลงานเดียวที่เขาสลักชื่อไว้ ว่ากันว่า ไมเคิลแองเจลโลเสียมารดาก่อนมากรุงโรม รูปนี้จึงแกะสลักออกมาได้อย่างได้อารมณ์ของการสูญเสียคนที่รัก และเขาก็แจ้งเกิดจาก Pieta




ที่มา : http://www.thaifly.com/


หอเอนเมืองปิซา (La Torre di Pisa)

La Torre di Pisa

หอเอนเมืองปิซา (อิตาลี: Torre pendente di Pisa หรือ La Torre di Pisa, อังกฤษ: Leaning Tower of Pisa) ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร

เริ่มสร้างเมื่อวันที่ สิงหาคม ค.ศ.1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย Giovanni di Simone สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซาได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา






กาลิเลโอ กาลิเลอิ เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาดไว้
ในปี ค.ศ.1934 เบนิโต มุสโสลินี พยายามจะทำให้หอกลับมาตั้งฉากดังเดิม โดยเทคอนกรีตลงไปที่ฐาน แต่กลับทำให้หอยิ่งเอียงมากขึ้นไปอีก กองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่ยิงปืนใหญ่ใส่หอเอนเมืองปิซา
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1964 รัฐบาลอิตาลี พยายามหยุดการเอียงของหอเอนเมืองปิซา โดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น วิศวกร นักคณิตศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ โดยใช้เหล็กรวมกว่า 800 ตัน ค้ำไว้ไม่ให้หอล้มลงมา
ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ.1990 หอเอนเมืองปิซาถูกปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังขุดดินของอีกด้านหนึ่งออก เพื่อให้สมดุลยิ่งขึ้น และในวันที่ 15 ธันวาคม 2001 หอเอนเมืองปิซาถูกเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้ง และถูกประกาศว่าสมดุลแล้วใน 300 ปีต่อมาหลังจากเริ่มทำการปรับปรุง
ค.ศ.1987 หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza Dei Miracoli หอเอนเมืองปิซายังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย

นอกจากนี้หอเอนเมืองปิซานี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองความจริง เรื่องน้ำหนักของของที่ตกเป็นผลสำเร็จอีกด้วย*




ที่มา : http://www.thaifly.com/


สนามกีฬาโคลอสเซียม (The Colosseum)

The Colosseo


สนามกีฬาโคลอสเซียม (ประเทศอิตาลี) - The Colosseum หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ขของโลกที่ได้รับการคัดเลือกจาก องค์กร New 7 Wonders เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน

แต่เดิมสัญลักษณ์ของกรุงโรมแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า ฟลาเวียน แอมพิเธียเตอร์ ตามนามสกุลของจักรพรรดิผู้ให้การสนับสนุนการก่อสร้าง โดยนับเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างขึ้นมาใน สมัยอาณาจักรโรมัน ครั้นเมื่อเสร็จสมบูรณ์ โคลอสเซี่ยมได้ถูกใช้จัดการแข่งขันกลาดิเอเตอร์ การประหาร และการแสดงละครเกี่ยวกับทวยเทพเพื่อมอบความบันเทิงให้แก่ผู้ชม ปัจจุบัน สนามกีฬาโคลอสเซียมได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านโทษประหารชีวิต โดยโคลอสเซียมจะส่องสว่างด้วยสีเหลืองทุกครั้งที่มีการกลับคำตัดสินหรือยก เลิกโทษประหารชีวิตไม่ว่าจะที่ใดในโลก ในบางครั้งจะมีการเรียกชื่อ โคลิเซียม (Coliseum)


ที่มา : http://www.thaifly.com/

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ประวัติ


ประวัติ



อิตาลี (อังกฤษ: Italy; อิตาลี: Italia) มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐอิตาลี (อังกฤษ: Italian Republic; อิตาลี: Repubblica italiana) เป็นประเทศในทวีปยุโรป บริเวณยุโรปใต้ ตั้งอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีที่มีรูปทรงคล้ายรองเท้าบูต และมีเกาะ 2 เกาะใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คือ เกาะซิซิลีและเกาะซาร์ดิเนีย และพรมแดนตอนเหนือแบ่งประเทศโดยเทือกเขาแอลป์ กับประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย และสโลวีเนีย ประเทศอิตาลีเป็นประเทศสมาชิกก่อตั้งของสหภาพยุโรป เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ นาโต และกลุ่มจี 8

มีประเทศอิสระ 2 ประเทศ คือ ซานมารีโนและนครรัฐวาติกัน เป็นดินแดนที่ล้อมรอบไปด้วยพื้นที่ของอิตาลี ในขณะที่เมืองกัมปีโอเนดีตาเลีย เป็นดินแดนส่วนแยกของอิตาลีที่ถูกล้อมรอบด้วยพื้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์